การขึ้นรูปที่ละเอียดและประณีต

GMW-B5000 สืบทอดการออกแบบของ G-SHOCK รุ่นแรก นั่นคือ DW-5000C เพื่อให้ได้ตัวเรือนโลหะล้วน DW-5000C เดิมถูกผลิตขึ้นด้วยการขึ้นรูปเนื่องจากการใช้เรซินที่มีกระบวนการผลิตที่ยอดเยี่ยม การให้ได้รูปลักษณ์พร้อมโลหะจำเป็นต้องมีเทคโนโลยีที่ซับซ้อน

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตัวเรือน ขอบตัวเรือนและกึ่งกลางตัวเรือน ซึ่งเป็นศูนย์กลางของการออกแบบส่วนนอกของนาฬิกา หล่อขึ้นในรูปแบบที่ซับซ้อนซึ่งสามารถได้มาจากการหลอมและตัดมากกว่าสิบขั้นตอนเท่านั้น ชิ้นส่วนที่มีรูปทรงไม่เท่ากัน เช่น ตัวป้องกันปุ่มและส่วนเชื่อมของสาย ได้รับการผลิตอย่างประณีตด้วยโลหะ สำหรับด้านหลัง มีการผลิตส่วนประกอบที่มีความแม่นยำเพื่อให้การประกอบที่มีรายละเอียดประณีตเป็นไปได้ การเจาะถูกนำมาใช้ตลอดเพื่อลดน้ำหนักรวมทั้งเพิ่มความแม่นยำของความพอดีของส่วนประกอบบัฟเฟอร์ ความพิเศษที่ไม่หยุดหย่อนในทุกรายละเอียด ซึ่งรวมถึงโครงสร้างปุ่มที่พัฒนาขึ้นเป็นพิเศษซึ่งรวมปุ่มต่างๆ เข้ากับแกนภายใน

ดีไซน์แบบร่องอันเป็นเอกลักษณ์ของสายยังสืบทอดมาจาก G-SHOCK รุ่นแรกอีกด้วย ในการแสวงหาความงามอย่างเข้มงวดในการตกแต่ง จนถึงส่วนล่างของรูที่น่าประทับใจ มีการใช้กระบวนการทำซ้ำของการกดและขัดเงาสลับกัน ความฝันอันเป็นเอกลักษณ์ในการทำซ้ำรูปแบบเฉพาะของเรซินด้วยโลหะได้บรรลุผลด้วยความสมบูรณ์แบบในระดับสูง

สัมผัสแห่งความงามในรายละเอียด

ในขณะเดียวกันก็ใช้การตกแต่งที่ดึงคุณภาพพื้นผิวของโลหะออกมาด้วย ส่วนประกอบแต่ละชิ้นได้รับการขัดเงาด้วยผิวสัมผัสแบบขนแมวและกระจกเพื่อให้นาฬิกาดูมีความรู้สึกลุ่มลึกและเปล่งประกายสวยงาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับตัวเรือนกรอบหรือ "หน้าปัด" ของนาฬิกา มีการใช้เวลาและความพยายามอย่างมากในการผลิต รวมถึงการเปลี่ยนทิศทางแนวผิวสัมผัสแบบขนแมวระหว่างพื้นผิวด้านบนและด้านข้าง

การใช้การเคลือบไอออนและการเคลือบ DLC ช่วยเพิ่มความทนทานต่อการสึกหรอและการขีดข่วนของนาฬิกาเช่นกัน ด้วยความใส่ใจในรายละเอียดเป็นพิเศษ ไปจนถึงส่วนประกอบที่อยู่นอกสายตา ผิวของนาฬิกาจึงมีระดับคุณภาพที่เหมาะสมกับนาฬิกาที่จะนำพาประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของ G-SHOCK ไปสู่อนาคต

การสืบทอดหน้าปัดแบบดั้งเดิม

การออกแบบหน้าปัดยังใส่ใจในรายละเอียดอย่างพิถีพิถัน นำเสนอจอ LCD ที่มีอัตราส่วนขนาดเดียวกันกับ G-SHOCK รุ่นแรกที่สร้างมาเพื่อสัดส่วนที่ให้ความรู้สึกมั่นคง ตัวอักษรบนหน้าปัดที่ใช้กับหน้าปัดทรงแปดเหลี่ยมก็เป็นไปตามเลย์เอาต์ดั้งเดิมเช่นกัน แม้ว่าตัวหนังสืออาจแตกต่างกันไปตามฟังก์ชันต่างๆ ที่รวมไว้ แต่รูปลักษณ์โดยรวมนั้นดูเข้ากับ G-SHOCK รุ่นแรก ด้วยแผงพลังงานแสงอาทิตย์ประสิทธิภาพสูงที่ช่วยให้หน้าปัดมีความทึบมากขึ้น ทำให้สามารถถ่ายทอดลวดลายอิฐได้อย่างสมจริง นาฬิกาจึงนำเสนอรูปลักษณ์ที่แฟนๆ G-SHOCK คุ้นเคย

อีกตัวอย่างหนึ่งที่แสดงถึงความพิเศษของการออกแบบนี้คือกรอบ ในขณะที่รุ่นในซีรีส์ 5600 ซึ่งเป็นรุ่นต่อจากรุ่นแรก มีโลโก้ G-SHOCK แบบแกะสลักที่มีรูปแบบนูน พื้นผิวของกรอบรุ่นแรกทั้งหมดเรียบ GMW-B5000 ได้ทำซ้ำแม้รายละเอียดที่เล็กที่สุดในแบบเดียวกัน แต่เป็นโลหะ

ในเวลาเดียวกัน แน่นอนว่าการออกแบบได้รับความท้าทายในการพัฒนารูปแบบใหม่ในฐานะนาฬิกาดิจิตอลเช่นกัน นอกจากการใช้จอแสดงผล LCD แบบนีมาติก Super-twisted (STN) แล้ว วัสดุที่ใช้ในแผงพลังงานแสงอาทิตย์ยังถูกเปลี่ยนเพื่อยับยั้งการสะท้อนของแสงภายนอกและเพิ่มทัศนวิสัยของจอ LCD นอกจากนี้ การรวมไฟพื้นหลัง LED แบบอัตโนมัติโดยสมบูรณ์ช่วยปรับปรุงการอ่านค่าในที่มืด แสงที่รวมคุณสมบัติเฟดเข้า/ออก การเรืองแสงสีขาว/สีส้ม และอีกมากมาย ในแง่ของความชัดเจนของนาฬิกาเช่นกัน ก็บรรลุวิวัฒนาการได้อย่างรวดเร็ว

ก้าวเหนือกว่าผลงานชิ้นเอก

สามสิบห้าปีผ่านไปนับตั้งแต่ G-SHOCK รุ่นแรกเปิดตัวในปี 1983 ในที่สุด GMW-B5000 ก็ปรากฏตัวขึ้นด้วยดีไซน์ทรงสี่เหลี่ยมที่ทนทานต่อแรงกระแทกด้วยโลหะทั้งชิ้น การเปิดตัวครั้งยิ่งใหญ่นี้มีให้เลือกสองตัวเลือก: GMW-B5000D-1 พร้อมสายสเตนเลสสตีล และ GMW-B5000-1 พร้อมสายยูรีเทนแบบนุ่ม

นี่เป็นช่วงเวลาที่ G-SHOCK วิวัฒนาการอย่างต่อเนื่องในด้านเหนือกาลเวลา ภูมิปัญญาดั้งเดิม และข้อจำกัดต่างๆ นับเป็นจุดเปลี่ยนใหม่ในประวัติศาสตร์ของ G-SHOCK DW-5000C อันเป็นสัญลักษณ์ซึ่งเป็น G-SHOCK รุ่นแรกถือเป็นผลงานชิ้นเอก นี่คือการตอบสนองของ G-SHOCK ต่อความท้าทายในการสร้างผลงานชิ้นเอกชิ้นใหม่ที่จะก้าวข้ามแม้แต่รุ่นแรก ในปีต่อๆ ไป เช่นเดียวกับในปีต่อไปนี้ ไม่มีอะไรสามารถอยู่เหนือ G-SHOCK ได้ นอกจากตัว G-SHOCK เอง