G-SHOCK 5600: จุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง
Published on 22 Apr 2022
5600 เป็นตัวเลขที่มีความหมายพิเศษสำหรับ G-SHOCK ถูกใช้เป็นชื่อรุ่นที่สืบทอดดีเอ็นเอ ของ G-SHOCK รุ่นแรกจากบรรดาทายาทนับพันรุ่นที่ถูกรังสรรขึ้นมา ดีไซน์ทรงเหลี่ยมเป็นสัญลักษณ์ต้นกำเนิดของ G-SHOCK ด้วยความพยายามที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนี่อยและมีนวัตกรรมอย่างต่อเนื่องซึ่งเกิดจากความเชื่อของนักพัฒนาว่าเขาสามารถสร้างนาฬิกาที่ไม่พังแม้หล่น และเป็นคุณสมบัติเป้าหมายสูงสุดที่ G-SHOCK ทุกรุ่นต้องมี
ซีรีส์ DW-5600
ดีไซน์ทรงเหลี่ยมนี้ยังคงเป็นที่ชื่นชอบของผู้คนจำนวนมาก และยังคงแสดงออกถึงตัวตนของ G-SHOCK โดยไร้ซึ่งผลกระทบจากอิทธิพลของกาลเวลาหรือกระแสนิยมใด ๆ นาฬิกาวัสดุเรซิน มีทั้งความยืดหยุ่นและความทนทานนี่คือรุ่นพื้นฐานที่สุดในบรรดา G-SHOCK และเป็นรุ่นที่แนะนำที่เหมาะกับการให้เป็นของขวัญ


ซีรีส์ GM-5600
นี่คือซีรีส์กรอบตัวเรือนโลหะของรุ่นสี่เหลี่ยมอันเป็นต้นกำเนิดของ G-SHOCK นาฬิกาที่เน้นคุณภาพ เป็นจุดมุ่งหมายที่ทำให้เราพัฒนารูปลักษณ์ทั้งภายนอกและความเป็นเลิศในการสวมใส่ นาฬิกาซีรีส์นี้สามารถสวมใส่ได้ทุกสภาพแวดล้อมด้วยลักษณะที่ดูไม่เป็นทางการของเรซินและความหรูหราของโลหะ


ซีรีส์ GMW-B5000
ซีรีส์เรือนโลหะล้วนที่เกิดจาก “ต้นกำเนิด” และ “วิวัฒนาการ” G-SHOCK นั้นมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อแสวงหาแก่นแท้และความเป็นสากล รูปโฉมแบบดั้งเดิมแห่งนาฬิการุ่นหลักของ G-SHOCK จึงถูกผลิตขึ้นจากวัสดุโลหะล้วนด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง


ซีรีส์ GM-S5600
ซีรีส์ 5600 อันเป็นเอกลักษณ์ถูกลดขนาดลงและเป็นรุ่นที่มอบความรู้สึกหรูหราด้วยวัสดุโลหะ ดีไซน์ทรงเหลี่ยมซึ่งใช้กันมาตั้งแต่รุ่นแรกของ GM-5600 ถูกลดขนาดลงเพื่อให้ได้มาซึ่งน้ำหนักที่เบาและความกระชับสบายในการสวมใส่


ต้นกำเนิดของ G-SHOCK

นาฬิกาที่ “ไม่พัง”
“ผมต้องการสร้างนาฬิกาที่ไม่พังแม้จะทำตกก็ตาม” นาฬิกาเป็นอุปกรณ์ที่มีความแม่นยำและละเอียดอ่อน และในตอนนั้น มันเป็นเรื่องธรรมดาที่นาฬิกาจะพังเสียหายเมื่อทำตกลงบนพื้น แนวคิดของนาฬิกาที่แข็งแกร่งไม่เพียงแต่ดูแหวกแนวเท่านั้น แต่ยังดูไร้สาระอีกด้วย อย่างไรก็ตามข้อเสนอนี้ก็ได้รับการยอมรับคณะทำงานของโครงการซึ่งประกอบด้วยคนเพียงแค่ 3 คนได้ถูกจัดตั้งขึ้น และการพัฒนานาฬิการูปแบบใหม่ก็เริ่มขึ้น

วันที่ยากลำบาก
ในตอนแรกพวกเขาคิดว่าการหุ้มนาฬิกาทั้งเรือนด้วยวัสดุที่อ่อนนุ่มจะเป็นวิธีการที่ดีที่สุด แต่เมื่อทำการทดลองการต้านทานการตกกระแทกไปเพียงไม่กี่ครั้งก็ทำให้ความคิดนั้นหยุดลงอย่างรวดเร็ว พวกเขาพบว่า นาฬิกาจะแตกหักพังเสียหายได้ไม่ว่าจะติดยางดูดซับแรงกระแทกเข้ากับด้านนอกของตัวเรือนมากเพียงใดก็ตาม และยิ่งพวกเขาติดวัสดุกันกระแทกเข้าไปมากขึ้น ก็ยิ่งไปเพิ่มขนาดของนาฬิกาให้ใหญ่โตขึ้น ซึ่งในไม่ช้าแบบจำลองที่ใช้ในการทดลองก็คงขยายใหญ่ขึ้นจนมีขนาดเท่ากับลูกซอฟต์บอลขนาดใหญ่เป็นแน่
ความแข็งแรงของชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกก็กลายเป็นปัญหาด้วยเช่นกัน กระบวนการที่ไม่อาจคาดการณ์ได้ของการลองผิดลองถูกได้ดำเนินต่อไปวันแล้ววันเล่า โดยเหล่านักพัฒนาจะปล่อยวัตถุต้นแบบที่มีการติดตั้งชิ้นส่วนเสริมความแข็งแกร่งลงจากหน้าต่างห้องที่อยู่ชั้น 3 และดูความเสียหายที่เกิดขึ้นบนพื้นซึ่งอยู่ต่ำลงมา 10 เมตร จากนั้นพวกเขาก็จะวิเคราะห์ชิ้นส่วนที่เกิดความเสียหายเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้ แล้วทำการทดลองใหม่ ซึ่งเป็นวัฏจักรที่ดูเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด

การฝ่าฟันอุปสรรค
คุณอิเบะได้ตัดสินใจด้วยความสิ้นหวังว่าในความพยายามครั้งสุดท้ายนั้นเขาจะกำหนดเวลาโดยจำกัดไว้ที่ 1 สัปดาห์ให้กับสิ่งที่เขาริเริ่มไว้นี้ และใช้ทุกชั่วโมงที่เขาตื่นอยู่ไปกับการค้นคว้า ซึ่งถ้าหากนั่นยังไม่เพียงพอ เขาก็จะพิจารณาในการลาออกจากตำแหน่งหน้าที่ของเขา เมื่ออีก 1 สัปดาห์ผ่านไปโดยที่ยังไม่ประสบความสำเร็จ วันสำคัญก็มาถึง วันนั้นคุณอิเบะ ก้าวออกไปนอกอาคารปฏิบัติการเพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์ในสวนที่อยู่ข้าง ๆ ที่นั่นเขาได้เห็นเด็กคนหนึ่งกำลังกระเด้งลูกบอลยางอยู่ และแรงบันดาลใจก็เกิดขึ้นกับเขาในบัดดล “ถ้าคุณติดนาฬิกาเข้ากับลูกบอลนั่น มันก็จะสามารถทนต่อแรงกระแทกที่รุนแรงได้” ความคิดที่ผุดขึ้นมาในหัวในขณะเวลาอันมหัศจรรย์นี้ถูกขยายไปสู่การสร้างโครงสร้างที่มีลักษณะพิเศษไม่เหมือนใครขึ้นมา ที่ซึ่งโมดูลเครื่องอันเป็นหัวใจของนาฬิกาจะลอยตัวอยู่ในอากาศภายในโครงสร้างแบบกลวงที่เป็นเหมือนอุโมงค์อยู่ภายในตัวเรือน

“กำเนิดของ G-SHOCK”
ไม่นานก่อนที่ G-SHOCK รุ่นแรก DW-5000C จะถูกเปิดตัวในปี 1983 ดีไซน์ทรงเหลี่ยมอันมีความสำคัญในเชิงสัญลักษณ์ ได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อแสวงหาความทนทานต่อแรงกระแทกแต่เพียงอย่างเดียว โดยไม่มีส่วนใดที่ไร้ประโยชน์ รูปทรงขั้นสูงสุดเพื่อที่จะบรรลุหน้าที่เพียงอย่างเดียวนี้ ถูกสืบทอดมาจนถึงปัจจุบันในฐานะมาตรฐานอันเป็นนิรันดร์