นับตั้งแต่ที่ G-SHOCK ถือกำเนิดขึ้นมานานกว่า 40 ปี แบรนด์ก็ยึดมั่นในจิตวิญญาณแห่งความแข็งแกร่งที่พัฒนาอยู่เสมอ ในปัจจุบัน นาฬิกา MR-G ยืนหยัดอยู่บนจุดสูงสุดของมรดกนี้ โดยผสานเทคโนโลยีล้ำสมัยเข้ากับความประณีตอันละเมียดละไมของงานฝีมือของญี่ปุ่นได้อย่างลงตัว นาฬิกา MR-G ทุกเรือนคือผลงานชิ้นเอกแห่งความประณีต ที่เกิดจากการแสวงหาอย่างไม่หยุดยั้งและการถ่ายทอดความสร้างสรรค์อันกล้าหาญอย่างไร้ขอบเขต
ในโปรเจ็กต์ “สร้างสรรค์งานศิลปะกับ MR-G” เราได้เชิญศิลปินร่วมสมัยมาร่วมสร้างผลงานศิลปะที่ผสานเข้ากับนาฬิกา MR-G ซึ่งถูกรังสรรค์ขึ้นด้วยการผสมผสานอันเป็นเอกลักษณ์ของประเพณีดั้งเดิมและนวัตกรรมล้ำสมัยเข้าด้วยกัน โปรเจ็กต์นี้มุ่งสำรวจการตีความทางศิลปะ โดยเชิญศิลปินมาหลอมรวมวิสัยทัศน์แห่งความคิดสร้างสรรค์ของตนเข้ากับแก่นแท้ของ MR-G โดยผลงานแต่ละชิ้นจะถ่ายทอดแรงบันดาลใจที่ชี้นำศิลปินแต่ละคนในการตีความปรัชญาที่ฝังอยู่ใน MR-G และถ่ายทอดออกมาในรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของพวกเขาเอง
ผลงานชุดแรกนี้เป็นฝีมือของ Genta Ishizuka ศิลปินผู้สร้างสรรค์งานศิลปะจากรูปทรงสามมิติที่เป็นธรรมชาติโดยใช้เทคนิคการเคลือบแล็กเกอร์ เมื่อได้รับการนำเสนอด้วยนาฬิกา MRG-B2100B ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งความแข็งแกร่งและความแม่นยำ เขาจึงเริ่มต้นการเดินทางเพื่อนิยาม “เวลา” ผ่านงานศิลปะของเขา
Genta Ishizuka: เสน่ห์แห่งผิวสัมผัสของศิลปะแนวอุรุชิ

ศิลปิน Genta Ishizuka ใช้เทคนิคการเคลือบแล็กเกอร์แบบดั้งเดิมของญี่ปุ่นที่มีชื่อว่า อุรุชิ ในการรังสรรค์ผลงานสามมิติที่มีรูปทรงอันเป็นธรรมชาติ ผลงานของเขาถูกห่อหุ้มด้วยพื้นผิวเคลือบแล็กเกอร์ที่เงางามและแฝงไว้ด้วยมิติความลึก สะท้อนถึงพลังแห่งความเคลื่อนไหวอย่างเปี่ยมชีวิตราวกับพร้อมจะขยับเคลื่อนไหวได้ทุกเมื่อ
“แล็กเกอร์แบบอุรุชิ ซึ่งมีต้นกำเนิดจากยางไม้ เป็นวัสดุที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์อันน่าหลงใหลและพลังลึกลับคล้ายเครื่องราง” “ผมหวังว่าจะสามารถกระตุ้นความรู้สึกของผู้คนที่รับรู้ผ่านพื้นผิว และปลุกความรู้สึกใหม่ๆ ที่เคยหลบซ่อนอยู่ให้ปรากฏขึ้นผ่านผลงานของผม” ศิลปินกล่าว
ขณะที่ Ishizuka ศึกษาเกี่ยวกับศิลปะการเคลือบแล็กเกอร์อุรุชิที่ Kyoto City University of Arts เขาได้มีโอกาสสัมผัสกับศิลปะร่วมสมัย และเริ่มทดลองสร้างสรรค์ผลงานศิลปะต้นฉบับจากแล็กเกอร์ด้วยตัวเอง ในการแสวงหารูปแบบการแสดงออกและพยายามลดช่องว่างระหว่างตัวเขากับแล็กเกอร์ ในที่สุดเขาก็ได้มุ่งไปสู่การสร้างผลงานจากวัตถุในชีวิตประจำวัน เขาได้ใช้เทคนิคเรเด็น ซึ่งเป็นการฝังเปลือกหอยมุกแบบดั้งเดิมที่มักใช้ในการตกแต่งเครื่องแล็กเกอร์ แต่ลองฝังด้วยใบมีดคัตเตอร์และลวดเย็บกระดาษลงบนพื้นผิวที่เคลือบแล็กเกอร์แทน
“ตั้งแต่เด็ก ผมชอบประดิษฐ์สิ่งของจากของใช้ที่คุ้นเคยในชีวิตประจำวันอยู่เสมอ” “ความปรารถนาที่จะสร้างงานศิลปะด้วยแล็กเกอร์ของผมเหมือนเป็นการต่อยอดจากสิ่งเหล่านั้น”

เพื่อเน้นย้ำถึงมิติความลึกและคุณลักษณะด้านผิวสัมผัสของแล็กเกอร์อุรุชิให้ชัดเจนยิ่งขึ้น Ishizuka จึงขยายแนวทางศิลปะของเขาจากงานสองมิติไปสู่สามมิติ เขามุ่งสร้างแรงตึงผ่านพื้นผิวที่เคลือบแล็กเกอร์ โดยได้รับแรงบันดาลใจจากรูปทรงที่พบเห็นได้ในชีวิตประจำวัน เช่น ตาข่ายถุงผลไม้ที่ถักแน่นหรือที่หุ้มท่อระบบปรับอากาศ จากการได้แรงบันดาลใจจากรูปทรงเหล่านี้ เขาได้พัฒนากระบวนการสร้างผลงานขึ้นมา โดยเริ่มจากการทำต้นแบบ แล้วคลุมด้วยผ้ายืด ก่อนจะลงมือเคลือบแล็กเกอร์เป็นชั้นๆ จนเสร็จสมบูรณ์
“เหมือนกับงานประดิษฐ์ที่ผมพูดถึงก่อนหน้านี้ ผมชอบเล่นกับวัสดุ ทดลองกับรูปทรงของมัน แล้วค่อยสร้างพื้นผิวบาง ๆ เพื่อห่อหุ้มพวกมัน” ซึ่งกระบวนการนี้ต้องอาศัยการเคลือบแล็กเกอร์และการขัดอย่างประณีตหลายชั้น ผมพยายามหาวิธีสร้างผลงานให้เสร็จสมบูรณ์ในแบบที่เน้นให้ตัววัสดุได้แสดงตัวตนออกมามากกว่าความตั้งใจของผมในฐานะศิลปิน เป็นผลงานที่สามารถยืนหยัดด้วยตัวมันเองอย่างเป็นธรรมชาติและไม่ถูกบีบบังคับ”
แนวทางนี้ทำให้ผลงานของ Ishizuka เปี่ยมไปด้วยพลังชีวิตอย่างน่าทึ่ง ทั้งที่วัตถุและวัสดุเหล่านั้นเดิมทีเป็นสิ่งไร้ชีวิตโดยธรรมชาติ รูปแบบการแสดงออกของเขา ซึ่งเกิดจากความหลงใหลในการเน้นย้ำถึงแก่นแท้ด้านพื้นผิวของแล็กเกอร์ มีพลังในการกระตุ้นการรับรู้ในแง่ผิวสัมผัสอย่างลึกซึ้ง


มุมมองแบบใดที่ Ishizuka จะนำมาถ่ายทอดสู่ MR-G เราได้นำเสนอเขาด้วยนาฬิการุ่น MRG-2100B เพื่อดูว่าเขาจะมีมุมมองอย่างไรบ้างในการนำไปสร้างผลงานศิลปะ
“นาฬิกานี้เป็นงานโลหะที่ให้ความรู้สึกหนักแน่นและมั่นคงมาก ผมเคยคิดมาตลอดว่านาฬิกา G-SHOCK ทำมาจากเรซิน นั่นทำให้ผมรู้สึกอยากรู้เกี่ยวกับกระบวนการผลิตอย่างมาก ผมขอไปเยี่ยมชมสถานที่ผลิตเพื่อรับแรงบันดาลใจได้ไหม”

Genta Ishizuka
Genta Ishizuka เกิดที่เกียวโตในปี 1982 เขาเคยเข้าร่วมโครงการแลกเปลี่ยนที่ Royal College of Art กรุงลอนดอน ก่อนจะสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทสาขาศิลปะการเคลือบแล็กเกอร์อุรุชิจาก Kyoto City University of Arts ในปี 2008
Ishizuka สร้างสรรค์ผลงานที่ถ่ายทอดแนวคิดเกี่ยวกับขอบเขตและการรับรู้ทางกายภาพลงบนพื้นผิวที่เคลือบด้วยแล็กเกอร์อุรุชิ อุรุชิซึ่งเป็นยางไม้ธรรมชาติที่ได้จากต้นไม้ต้องการรูปทรงที่เหมาะสมและสอดคล้องกับแก่นแท้ของแล็กเกอร์ชนิดนี้ Ishizuka มุ่งสำรวจปฏิสัมพันธ์ที่ไม่ตายตัวระหว่างท่วงท่าของมนุษย์กับวัสดุ เพื่อสร้างความสัมพันธ์และพื้นที่ใหม่ๆ ที่ทั้งสองสิ่งมาบรรจบกันผ่านกระบวนการสร้างสรรค์ของเขา
นิทรรศการสำคัญของเขาประกอบไปด้วย “The Future of Artisanal Beauty” (Warehouse TERRADA, โตเกียว / วัดเคนนินจิ เกียวโต, ปี 2024), “LOEWE Lamps” (Palazzo Citterio, มิลาน, ปี 2024) และ “Visionaries: Making Another Perspective” นิทรรศการพิเศษ ณ พิพิธภัณฑ์ศิลปะเมืองเกียวโต KYOCERA ในปี 2025 เขามีแผนจะจัดนิทรรศการเดี่ยวที่ ARTCOURT Gallery
รางวัลสำคัญที่เขาได้รับ ได้แก่ Kyoto Prefectural Culture Award’s Encouragement Prize (2024), LOEWE FOUNDATION Craft Prize (2019), และ Kyoto City New Artist Award (2019).
การพบปะอย่างใกล้ชิดกับเทคโนโลยีการผลิตล้ำสมัยที่ Yamagata Casio


Ishizuka เดินทางไปยัง Yamagata Casio ด้วยตนเอง “โรงงานแม่” ของ G-SHOCK นี้เป็นศูนย์กลางการผลิตนาฬิการุ่น MR-G ในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การผลิตกลไกภายในไปจนถึงการประกอบขั้นสุดท้าย ที่นี่ยังผลิตชิ้นส่วนต่างๆ เช่น ชิ้นส่วนกลไก หน้าปัด และองค์ประกอบอื่นๆ โดยใช้เทคโนโลยีการขึ้นรูปที่ล้ำสมัยและเป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัท
สิ่งแรกที่ทำให้เขารู้สึกทึ่งคือกระบวนการผลิตโรเตอร์ ซึ่งเป็น “หัวใจ” ของกลไกที่ขับเคลื่อนนาฬิกา MR-G โรเตอร์นี้มีความบางเพียง 1.1 มม. ซึ่งเล็กจนน่าตกใจ กระบวนการขึ้นรูปชิ้นส่วนที่มีขนาดละเอียดระดับนี้ทำโดยหุ่นยนต์ทั้งหมด และเกิดขึ้นในสภาพแวดล้อมการผลิตที่มักจะมืดสนิทและไม่มีแสงไฟ
“สำหรับผม ถ้าไม่มีแสง ผมก็ไม่สามารถใช้มือสร้างอะไรได้เลย แต่พอมาคิดดู ก็สมเหตุสมผลดีที่หุ่นยนต์จะสามารถผลิตสิ่งต่างๆ ได้โดยไม่ต้องพึ่งการมองเห็นแบบมนุษย์”


หลังจากเปลี่ยนเป็นชุดกันฝุ่นเรียบร้อยแล้ว เขาก็เข้าไปชมกระบวนการประกอบกลไกนาฬิกา ภายในพื้นที่กว้างขวางสีขาวสะอาด มีเครื่องจักรเรียงรายเป็นระเบียบพร้อมกับพนักงานที่กระจายตัวอยู่ตามจุดต่างๆ เพื่อทำการตรวจสอบ ในขั้นตอนนี้ พนักงานจะทำงานร่วมกับเครื่องจักรอัตโนมัติ โดยตรวจเช็คความแม่นยำของการประกอบชิ้นส่วนกลไกอันซับซ้อนที่หุ่นยนต์เป็นผู้ดำเนินการ จากนั้นกระบวนการประกอบ MR-G ขั้นสุดท้ายจะถูกส่งต่อให้กับ “Medalist” ผู้เชี่ยวชาญที่มากด้วยฝีมือที่ผ่านเกณฑ์อันเข้มงวดของ Casio
“ผมเคยคิดมาตลอดว่าจะต้องมีเส้นแบ่งชัดเจนระหว่างสิ่งที่มนุษย์ทำด้วยมือกับสิ่งที่เครื่องจักรสร้างขึ้น แต่ที่ Yamagata Casio ผมรู้สึกว่าขอบเขตระหว่างแรงงานมนุษย์กับเครื่องจักรนั้นไม่ได้แบ่งแยกอย่างชัดเจน กลายเป็นการร่วมมืออย่างสอดประสานของทักษะและเทคนิคจากทั้งสองฝั่ง สิ่งนี้ทำให้ผมจินตนาการถึงสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ที่เชี่ยวชาญในการสร้างนาฬิกาโดยเฉพาะ นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้มาเยี่ยมชมโรงงานผลิตแบบนี้ และได้เห็นกับตาว่าส่วนประกอบที่ต้องใช้ความแม่นยำสูงถูกผลิตซ้ำอย่างสม่ำเสมอได้อย่างไร แปลกดีเหมือนกันที่มันทำให้ผมนึกถึงมิวสิกวิดีโอเพลง All Is Full of Love ของ Björk ที่กำกับโดย Chris Cunningham ด้วย!”
เขาเล่าให้ฟังว่าก่อนที่ Ishizuka จะมาที่ Yamagata Casio เขายังได้แวะชม Toshio Kashio Memorial Museum of Invention ที่โตเกียวอีกด้วย
จากความประทับใจที่ได้รับจากพิพิธภัณฑ์ เขาได้กล่าวว่า “ผมได้เรียนรู้ว่านาฬิกา G-SHOCK รุ่นแรกมีจุดเริ่มต้นจากข้อเสนอแค่ประโยคเดียว และ Kikuo Ibe ก็ได้ทำการทดลองโยนนาฬิกาต้นแบบลงมาจากหน้าต่างอาคาร ขั้นตอนต่างๆ จนถึงจุดนั้นให้ความรู้สึกคุ้นเคยกับผมมาก มันคล้ายกับแนวทางการทำงานของผมเอง แต่หลังจากจุดนั้น ความต่างคือการเลือกว่าจะเน้นการผลิตซ้ำที่มีคุณภาพสม่ำเสมอ หรือการสร้างผลงานศิลปะที่มีชิ้นเดียวในโลก ผมสามารถเข้าถึงสิ่งที่เห็นได้ในระดับหนึ่ง และผมรู้สึกทึ่งจริงๆ”
หลังจากบอกเล่าความประทับใจให้พวกเราฟัง Ishizuka ก็กลับไปทำงานในสตูดิโอของเขาต่อ
การถ่ายทอดความทนทานผ่านชั้นแล็กเกอร์


เมื่อเราไปเยี่ยม Ishizuka ที่สตูดิโอของเขาในเมืองคาเมโอกะ จังหวัดเกียวโต หลังจากมอบหมายงานให้เขาราวหกเดือนก่อน เราก็ได้เห็นผลงานที่เสร็จสมบูรณ์ของเขาจัดวางอยู่บนโต๊ะ ผลงานมีพื้นผิวสีดำเงา ดูคล้ายกับหินแร่ โดดเด่นอย่างเห็นได้ชัด แม้จะดูหนักแน่นมั่นคง แต่กลับให้ความรู้สึกนุ่มนวลในขณะเดียวกัน สร้างความรู้สึกน่าค้นหาและขัดแย้งอย่างมีเสน่ห์
รอบข้างผลงานนั้นเต็มไปด้วยการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับ G-SHOCK ทั้งภาพร่างหลายชุด, Maquette (แบบจำลอง), ตัวอย่างการเคลือบแล็กเกอร์หลายแบบ และอื่นๆ อีกมาก เราได้ถาม Ishizuka ว่าเขามีความคิดใดในหัวขณะที่สร้างผลงานชิ้นนี้
“ตอนที่ผมหยิบนาฬิกา MRG-B2100B ขึ้นมา ผมสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งและความประณีต เป็นชิ้นงานที่ถูกสร้างขึ้นอย่างแม่นยำและหนักแน่น เมื่อได้ไปชมกระบวนการผลิตจริงๆ สิ่งที่ผมรู้สึกก็ยิ่งได้รับการยืนยัน คำถามที่เกิดขึ้นคือ แนวทางใดที่ผมสามารถนำศิลปะที่มุ่งเน้นวัฒนธรรมมาส่งเสริมนาฬิกาที่สร้างขึ้นด้วยเทคโนโลยีที่มีความแม่นยำสูงเช่นนี้ได้ ผมจึงได้ไอเดียในการนำพื้นผิวและผิวสัมผัสของแล็กเกอร์มาจัดวางเคียงข้างกับนาฬิกาที่มอบความรู้สึกที่ไม่ตายตัว”


ในตอนแรก เขาจินตนาการถึงผลงานที่มีรูปทรงคล้ายโฮโคระ ศาลเจ้าริมทางขนาดเล็กของญี่ปุ่น ในรูปลักษณ์ที่เป็นธรรมชาติ ซึ่งทำหน้าที่เป็นที่วางนาฬิกา MRG-B2100B แต่เมื่อพิจารณาถึงความซับซ้อนของพื้นผิวและความแข็งแกร่งของตัวเรือนโลหะ เขาจึงปรับเปลี่ยนแนวทางใหม่ จนมาลงตัวที่รูปลักษณ์ซึ่งให้ความรู้สึกเหมือนแร่ธาตุหรือแร่โลหะชนิดหนึ่ง
“ผมคิดถึงวิธีถ่ายทอดความสัมพันธ์ระหว่างวัสดุอย่าง COBARION ซึ่งเป็นโลหะผสมล้ำสมัยที่ใช้ใน MRG-B2100B กับแล็กเกอร์ซึ่งเป็นวัสดุที่ผมทำงานด้วย รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างความแม่นยำของกลไกนาฬิกากับความรู้สึกของเวลาที่กว้างขวางในงานของผมเอง ผมยังสงสัยว่ากระบวนการซ้อนทับชั้นแล็กเกอร์ซ้ำๆ นั้นสามารถมองว่าเป็นการสะสมของเวลาได้หรือไม่ แนวคิดนี้จุดประกายให้ผมนึกถึงการสร้าง ‘แร่แห่งกาลเวลา’ ด้วยแล็กเกอร์ขึ้นมา”
โครงสร้างของผลงานเกิดขึ้นจากการดัดวัสดุพื้นฐานให้เป็นรูปทรงปิด “โดยการผสานความแข็งแกร่งดุจแร่ธาตุเข้ากับความถ่ายทอดที่ลื่นไหลของแล็กเกอร์ ผมต้องการสร้างผลงานที่ให้ทั้งความรู้สึกของความแข็งและความอ่อนในเวลาเดียวกัน” Ishizuka อธิบาย ผลลัพธ์คือรูปทรงที่หลอมรวมความแม่นยำแบบเรขาคณิตเข้ากับความเคลื่อนไหวอย่างเป็นธรรมชาติ โดยมีพื้นผิวอุรุชิที่ลุ่มลึกและเงางามเป็นตัวเชื่อมโยง ทั้งหมดสะท้อนถึงแก่นแท้ของนาฬิการุ่น MRG-B2100B อย่างแท้จริง
ผลงานชิ้นนี้ใช้เทคนิค “แล็กเกอร์แห้ง” (เทคนิคคันชิทสึ ) ซึ่งเริ่มจากการปูผ้าเฮมพ์เป็นชั้นแรก เคลือบให้แข็งด้วยแล็กเกอร์ แล้วซ้อนทับซ้ำๆ หลายชั้นเพื่อเสริมความแข็งแรง ทุกจังหวะของการทาและทุกชั้นของการขัดเงา ล้วนบันทึกมิติของเวลาเอาไว้อย่างที่มีเพียงมือของศิลปินเท่านั้นที่ทำได้ ขั้นตอนสุดท้ายคือการตกแต่งพื้นผิวแบบโรอิโระ ซึ่งเป็นเทคนิคขัดผิวแล็กเกอร์ให้เงางามราวกระจก มอบโทนดำเงาให้กับผลงาน สื่อถึงความแข็งแกร่งอย่างลุ่มลึก ผลงานที่เสร็จสมบูรณ์สะท้อนถึงมิติของความลึกที่สร้างขึ้นได้เพียงผ่านกระบวนการที่ทำด้วยมือโดยการซ้อนทับและขัดแล็กเกอร์หลายชั้น
“ผมอาจเริ่มต้นด้วยการร่างภาพก็จริง แต่ส่วนใหญ่แล้วผมจะสร้างผลงานเหมือนกับว่ากำลังสร้างต้นแบบหรือโมเดลทดลอง การเคลือบแล็กเกอร์หลายชั้นและการขัดชั้นเหล่านั้นจะค่อยๆ เผยอะไรบางอย่างให้เห็น เช่น พื้นผิวที่แตกต่างซึ่งวัสดุสามารถเผยออกมา ผมไม่เคยรู้แน่ชัดเลยว่าผลงานจะออกมาเป็นแบบไหนจนกว่าจะทำเสร็จจริงๆ”


สีดำเงาที่ปรากฏบนพื้นผิวของผลงานในท้ายที่สุด ดูเหมือนจะซึมซาบไปด้วยกาลเวลาในหลากหลายรูปแบบ การมองลึกเข้าไปให้ความรู้สึกราวกับกำลังจ้องมองลงไปในหุบเหวลึกลับที่ไม่อาจหยั่งถึง สื่อถึงความไร้ขอบเขตที่ชวนให้นึกถึงจักรวาลทั้งผืน
การสอดประสานอย่างกลมกลืนระหว่างเวลาและงานฝีมือ

แนวคิดเรื่องงานฝีมือเป็นสิ่งที่ Ishizuka ให้คุณค่าอย่างลึกซึ้งในแนวทางการสร้างสรรค์ศิลปะของเขา เขามองว่าสิ่งนี้มีรากฐานทางประวัติศาสตร์ที่อุดมด้วยภูมิปัญญาที่สืบทอดกันมายาวนาน จากบรรพบุรุษที่แสวงหาวิธีทำให้ชีวิตผู้คนสะดวกสบายและน่าพึงพอใจยิ่งขึ้นผ่านขนบธรรมเนียมการสร้างสรรค์งานฝีมือ
“ผมเชื่อว่างานฝีมือคือกระบวนการแปรรูปวัสดุธรรมชาติให้กลายเป็นสิ่งที่ส่งเสริมประสบการณ์ของมนุษย์ การเปลี่ยนวัตถุดิบเดิมๆ ให้กลายเป็นความสบายและความประณีต เป็นความชาญฉลาดในการปั้นดินให้เป็นภาชนะแล้วนำไปเผา หรือการใช้หินที่ลับคมในการตัดไม้ หรือการเคลือบวัตถุด้วยแล็กเกอร์อุรุชิ กระบวนการเหล่านี้ที่เกิดจากสัญชาตญาณในการขัดเกลาสิ่งเดิมๆ จากธรรมชาติ กลายมาเป็นเทคนิคและเครื่องมือที่เราพึ่งพาในปัจจุบัน จากภูมิปัญญาที่สั่งสมเหล่านี้ งานของผมมุ่งหวังที่จะสร้างการรับรู้ในด้านการสัมผัส ปลุกความเชื่อมโยงที่ลึกซึ้งและเข้าถึงธรรมชาติดั้งเดิมของวัสดุมากขึ้น”
แนวคิดเรื่องเวลาซึ่งสะท้อนอยู่ในนาฬิกา MR-G เอง ก็ถือกำเนิดขึ้นจากการแสวงหาความสะดวกสบายในชีวิตมนุษย์เช่นกัน วิวัฒนาการของเครื่องบอกเวลามีจุดเริ่มต้นจากนาฬิกาแดด ที่ใช้ตำแหน่งของดวงอาทิตย์ในการบอกเวลา ตามด้วยนาฬิกาน้ำที่อาศัยการไหลของน้ำเพื่อบอกเวลา ต่อมาเกิดเทคโนโลยีนาฬิกาแบบอะนาล็อกที่นำไปสู่หอนาฬิกาและนาฬิกาในรูปแบบต่างๆ และสุดท้ายจึงเป็นนาฬิกาข้อมือที่พกพาได้ G-SHOCK ได้ยกระดับขึ้นอีกขั้นด้วยการพัฒนานาฬิกาที่ “ไม่พังแม้จะหล่นกระแทก” ตามวิสัยทัศน์ที่ตั้งไว้ และในปัจจุบัน นาฬิกาตระกูล MR-G ยังคงเป็นแนวหน้าของนวัตกรรมที่มุ่งสร้างความสุขและความพึงพอใจในระดับที่สูงขึ้น หัวใจของเส้นทางนี้คือการตกผลึกของเทคโนโลยีงานฝีมือขั้นสูง
เมื่อวาง MRG-B2100B ไว้บนตัวงาน ผลงานของ Ishizuka ก็ได้สร้างงานศิลปะใหม่ขึ้นมาร่วมกับตัวนาฬิกา มวลแล็กเกอร์ที่เงางามราวแร่ธาตุ เปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของการตกผลึกแห่งกาลเวลาที่สั่งสม และจากตัวผลงานนั้นเอง นาฬิกา MR-G ก็กำลังบอกเวลาด้วยความแม่นยำที่น่าประทับใจ ประกายของวัสดุ COBARION ที่แวววาวสะท้อนเข้ากับพื้นผิวแล็กเกอร์สีดำสนิท สร้างความงามที่กลมกลืนและเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างสง่างาม
“ญี่ปุ่นมีวัฒนธรรมการชื่นชมที่เรียกว่า ซุยเซกิ ที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนาน ซึ่งคือการจัดแสดงก้อนหินที่พบตามธรรมชาติที่มีรูปทรงน่าสนใจ โดยวางไว้ในอ่างน้ำตื้นหรือแท่น เพื่อสะท้อนภาพของยอดเขา หรือแม้แต่พระโพธิสัตว์กวนอิม สำหรับผลงานของผม แม้จะไม่มีภาพเฉพาะในใจ แต่ผมหวังว่าผู้ชมจะสามารถค้นพบสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ปรากฏขึ้นในใจของพวกเขาเองในลักษณะเดียวกันนั้น”
วิสัยทัศน์อันเป็นเอกลักษณ์ที่ผสานสัมผัสแห่งการไหลของเวลาที่แตกต่างเข้าด้วยกัน



“ด้วยการทาแล็กเกอร์และขัดเงาซ้ำๆ หลายชั้น ผมได้สร้างมวลสีดำสนิทที่ดูคล้ายแร่ธาตุ ซึ่งไหลไปพร้อมกับความรู้สึกของเวลาในมิติที่สัมพันธ์กับความรู้สึกของเวลาที่นำเสนอด้วยความแม่นยำของ MRG-2100B แม้ว่าความรู้สึกของเวลาทั้งสองแบบจะแตกต่างกัน แต่ผมรู้สึกว่าการนำมาเชื่อมโยงกันเช่นนี้ได้สร้างวิสัยทัศน์เฉพาะตัวที่น่าชื่นชม”